ถ้าโลกนี้มีเวทีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด สหรัฐอเมริกาก็คงเป็นนักแสดงนำ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจอเมริกา “สะอึก” ตลาดโลกก็พร้อมจะเป็นหวัดตามทันที แล้วดอลลาร์ล่ะ? แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่กระดาษสีเขียว แต่คือเครื่องชี้วัดความเชื่อมั่นของโลกที่มีต่ออเมริกาแบบไม่ต้องพูดเยอะ
ดอลลาร์กับเศรษฐกิจ: เข็มขัดนิรภัยของนักเทรด
ดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เป็นเพียงแค่สกุลเงินของประเทศหนึ่ง แต่มันคือเสาหลักของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของการซื้อขายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ หรือสินค้าหลักอื่น ๆ ทั่วโลกมักจะตั้งราคาในดอลลาร์ การที่ประเทศต่าง ๆ ต้องถือครองดอลลาร์ไว้ในทุนสำรองของพวกเขา ก็เพราะดอลลาร์เป็นเหมือน “ภาษากลาง” ในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งนี้ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน และเป็นปัจจัยที่นักเทรดไม่อาจมองข้ามได้
เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตหรือมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มันจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของดอลลาร์ ซึ่งในทางกลับกันก็มีผลต่อราคาสินทรัพย์ทั่วโลก รวมถึงค่าเงินอื่น ๆ ด้วย นักลงทุนจึงต้องติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างใกล้ชิด เช่น รายงาน GDP ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และตัวเลขการจ้างงาน เพราะตัวเลขเหล่านี้จะส่งสัญญาณถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางของดอลลาร์ในอนาคต
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน ดอลลาร์มักจะกลายเป็น “ที่หลบภัย” ของนักลงทุน เพราะถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นโดยธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ เงินทุนจะไหลเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ดอลลาร์แข็งและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินต่าง ๆ นักเทรดที่เข้าใจเรื่องนี้สามารถใช้โอกาสนี้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดและวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นนักเทรด ไม่ว่าจะสายเทคนิคหรือสายปัจจัยพื้นฐาน การเข้าใจกลไกของดอลลาร์กับเศรษฐกิจสหรัฐคือหัวใจสำคัญในการวางกลยุทธ์การลงทุน เพราะเมื่อคุณมองเห็นว่าอะไรเป็นแรงผลักดันของดอลลาร์ คุณก็จะเริ่มเห็นภาพรวมของตลาดฟอเร็กซ์ชัดเจนขึ้น เหมือนกับการขับรถที่คุณต้องรู้ว่าเข็มขัดนิรภัยอยู่ตรงไหน เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยในการเดินทางของพอร์ตคุณเอง
GDP ของสหรัฐฯ: ตัวชี้วัดสุขภาพโดยรวม
- GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการประเมิน “สุขภาพทางเศรษฐกิจ” ของประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวเลข GDP จะสะท้อนว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตหรือหดตัว ซึ่งนั่นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์โดยตรง
- เมื่อ GDP ขยายตัว หรือโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าเศรษฐกิจมีพลัง คนมีรายได้มากขึ้น การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ภาคธุรกิจมีกำไรและมีการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งภาพรวมแบบนี้มักจะทำให้ธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า เพราะนักลงทุนจากทั่วโลกต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง
- ในทางกลับกัน หาก GDP ติดลบ หรือโตช้าลง สะท้อนว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ความเชื่อมั่นลดลง ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย ธุรกิจชะลอการลงทุน และอาจมีการเลิกจ้างงานมากขึ้น ธนาคารกลางอาจต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะผลตอบแทนในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐลดลง
- นักเทรดที่เก่งเรื่อง GDP มักจะใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดค่าเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการจาก BEA (Bureau of Economic Analysis) เช่น ไตรมาสต่อไตรมาส หรือรายปี การตีความข้อมูล GDP อย่างเข้าใจและแม่นยำจะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การเทรดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือภาพรวมของ “ลมหายใจของเศรษฐกิจ”
อัตราเงินเฟ้อ: ดัชนีวัดพลังซื้อ
ปี | ดัชนี CPI (% YoY) | ดัชนี PCE (% YoY) | นโยบายของ Fed | แนวโน้มดอลลาร์ |
2019 | 1.8% | 1.5% | ดอกเบี้ยทรงตัว | ทรงตัว |
2020 | 1.2% | 1.3% | ลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน | อ่อนค่า |
2021 | 5.4% | 4.0% | เริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย | เริ่มแข็งค่า |
2022 | 8.0% | 6.3% | ขึ้นดอกเบี้ย aggressively | แข็งค่ารุนแรง |
2023 | 3.2% | 2.8% | ดอกเบี้ยยังสูง | ทรงตัวหรือแข็งเล็กน้อย |
การจ้างงานและอัตราว่างงาน: ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของแรงงาน
การจ้างงานถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ถ้าคนมีงานทำมากขึ้น รายได้ของครัวเรือนก็จะเพิ่มขึ้นตาม ทำให้การใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจเติบโต ธุรกิจที่เติบโตก็จะจ้างงานเพิ่ม เป็นวงจรที่เกื้อหนุนกัน ซึ่งเมื่อตัวเลขการจ้างงานดี นักลงทุนจะมองว่าเศรษฐกิจแข็งแรง และนั่นทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจและแห่กันมาลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ มากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากอัตราว่างงานสูง แสดงว่าคนจำนวนมากขาดรายได้ ส่งผลให้การใช้จ่ายในระบบลดลง ธุรกิจขายของได้น้อย รายได้ของบริษัทลดลง เศรษฐกิจชะลอตัว และทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ เพราะนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในช่วงเปราะบาง ดังนั้นตัวเลขการจ้างงานและอัตราว่างงานจึงมีอิทธิพลต่อมุมมองของนักลงทุนและความเคลื่อนไหวของค่าเงินอย่างมาก
หนึ่งในรายงานที่นักเทรดจับตาเป็นพิเศษคือ Non-Farm Payrolls หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า NFP ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่ประกาศทุกเดือน ตัวเลขนี้ถ้ามากกว่าคาด ดอลลาร์มักแข็งค่าในทันที เพราะแสดงถึงตลาดแรงงานที่แข็งแรง ส่วนอีกตัวคืออัตราว่างงาน ซึ่งถ้าลดลงจากเดือนก่อน ก็ยิ่งส่งสัญญาณบวกให้กับเศรษฐกิจโดยรวม
ข้อมูลแรงงานจึงเปรียบเสมือน “เครื่องวัดชีพจร” ของระบบเศรษฐกิจ ถ้าเต้นแรง นั่นแปลว่าเศรษฐกิจกำลังขับเคลื่อนได้ดี แต่ถ้าเริ่มแผ่วลง อาจต้องระวังการชะลอตัว นักลงทุนจึงต้องอ่านข้อมูลเหล่านี้อย่างเข้าใจและเชื่อมโยงกับแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อยู่เสมอ
อัตราดอกเบี้ยจาก Fed: กุญแจควบคุมตลาด
- การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ควบคุมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งทุกครั้งที่มีการประชุม FOMC นักลงทุนทั่วโลกจะจับตาดูว่าดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง เพราะมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์
- เมื่อ Fed ตัดสินใจ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย หมายความว่าอัตราผลตอบแทนของการถือสินทรัพย์สหรัฐฯ อย่างพันธบัตรหรือเงินฝากจะสูงขึ้น นักลงทุนจากทั่วโลกก็จะนำเงินมาลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการดอลลาร์พุ่งขึ้น และแน่นอน ดอลลาร์จะแข็งค่าตาม
- ในทางกลับกัน ถ้า Fed “ลด” อัตราดอกเบี้ย ความน่าสนใจในการถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์จะลดลง นักลงทุนอาจโยกเงินไปยังประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้ความต้องการดอลลาร์ลดลง และนั่นจะกดให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
- การเปลี่ยนแปลงแม้เพียง 0.25% ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดได้ เพราะมันไม่ได้กระทบแค่ค่าเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหุ้น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดตราสารหนี้อีกด้วย ดังนั้นนักเทรดต้องติดตามทุกคำพูดของประธาน Fed และถอดรหัสแนวโน้มดอกเบี้ยล่วงหน้าให้ได้เพื่อหาทางได้เปรียบในตลาด
นโยบายการคลังและงบประมาณ
ปี | รายจ่ายภาครัฐ (ล้านล้าน USD) | รายรับภาครัฐ (ล้านล้าน USD) | งบประมาณขาดดุล/เกินดุล | แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ |
2018 | 4.11 | 3.33 | ขาดดุล 0.78 | ทรงตัว |
2020 | 6.55 | 3.42 | ขาดดุล 3.13 | อ่อนค่าลง |
2021 | 6.82 | 4.05 | ขาดดุล 2.77 | เริ่มอ่อนตัว |
2022 | 6.27 | 4.90 | ขาดดุล 1.37 | แข็งค่าขึ้นชั่วคราว |
2023 | 6.37 | 4.44 | ขาดดุล 1.93 | ความเชื่อมั่นเริ่มลดลง |
ดุลบัญชีเดินสะพัด: สัญญาณเตือนภัยหรือโอกาส?
ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนความสมดุลทางการค้าระหว่างการนำเข้าและการส่งออกสินค้าของประเทศ หากสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าและบริการมากกว่าการส่งออก จะเกิดดุลบัญชีติดลบ ซึ่งแสดงว่าเงินจากต่างประเทศไหลออกมากกว่าที่ไหลเข้ามาในประเทศ ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับความเสถียรของค่าเงินดอลลาร์ การที่ดุลบัญชีติดลบต่อเนื่องอาจทำให้นักลงทุนเริ่มสงสัยว่าเหตุใดสหรัฐฯ ถึงยังคงเป็นที่นิยมในฐานะสกุลเงินหลักในการลงทุน
แม้ดุลบัญชีติดลบอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังขาดดุลการค้ากับโลกภายนอก แต่ในบางกรณี นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามันเป็นเพียงการสะท้อนถึงกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลก ในช่วงที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำในหลายด้าน ทั้งการลงทุนและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์ต่างประเทศ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือที่กระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนต่างชาติ
ในทางกลับกัน การที่ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบมากเกินไปอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในดอลลาร์ได้หากสหรัฐฯ ไม่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับการค้าระหว่างประเทศ หากดุลบัญชีติดลบเรื้อรัง นักลงทุนอาจเริ่มตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องถือดอลลาร์มากเกินไป และอาจเลือกหันไปลงทุนในสกุลเงินที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่า
ดังนั้น การติดตามดุลบัญชีเดินสะพัดจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักเทรดฟอเร็กซ์ การมีข้อมูลนี้ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่ โดยการนำเข้าและส่งออกสินค้าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ในระยะยาว
สถานการณ์การเมืองในอเมริกา: ตัวแปรที่เทรดเดอร์ไม่อยากมองข้าม
- สถานการณ์ทางการเมืองในอเมริกาสามารถมีผลกระทบต่อดอลลาร์ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ แนวโน้มทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน การเลือกตั้งที่ไม่คาดคิดหรือการถอดถอนประธานาธิบดีอาจสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ได้
- เมื่อประธานาธิบดีใหม่เข้ามาอำนาจ นโยบายที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลกระทบทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย หรือการใช้นโยบายการคลังที่อาจทำให้ดอลลาร์มีการปรับตัวอย่างฉับพลัน การผันผวนนี้อาจเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับนักเทรดที่ต้องการความมั่นคงในการลงทุน
- การถอดถอนประธานาธิบดีหรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนเช่นการเกิดวิกฤติการเมืองภายในประเทศ อาจทำให้ตลาดการเงินไม่มั่นคงและส่งผลต่อดอลลาร์อย่างรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ตลาดต้องเผชิญกับความผันผวนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินสหรัฐฯ และอาจทำให้เกิดการอ่อนค่าของดอลลาร์
- การตัดสินใจด้านนโยบายที่เร็วเกินไปหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในรัฐบาลสามารถทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ทำให้ดอลลาร์ไม่มั่นคง นักลงทุนที่ติดตามเหตุการณ์การเมืองในอเมริกาอย่างใกล้ชิดจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้การลงทุนของตนได้รับผลกระทบจากความผันผวนเหล่านี้
ตลาดหุ้นอเมริกา: กระจกสะท้อนความมั่นใจ
ปี | ดัชนีตลาดหุ้น | แนวโน้มตลาดหุ้น | ผลกระทบต่อดอลลาร์ | เหตุการณ์สำคัญ |
2018 | S&P 500 | ขึ้น | แข็งค่า | การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤต |
2020 | NASDAQ | ขึ้น | อ่อนตัว | ผลกระทบจาก COVID-19 |
2021 | S&P 500 | ขึ้น | แข็งค่า | การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายของรัฐบาล |
2022 | NASDAQ | ลง | อ่อนตัว | ภาวะเงินเฟ้อและการปรับอัตราดอกเบี้ย |
2023 | S&P 500 | ขึ้น | แข็งค่า | การฟื้นตัวของภาคธุรกิจและความมั่นคงในตลาด |
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค: ตัวเลขเล็กแต่สำคัญ
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอเมริกาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูไม่ใหญ่โตเท่ากับข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสามารถสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน เมื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจในเศรษฐกิจ พวกเขามักจะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตและส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีความมั่นคงมากขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index หรือ CCI) คือเครื่องมือสำคัญในการวัดความรู้สึกของผู้บริโภคต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ หากดัชนีนี้สูง แสดงว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจในการใช้จ่าย และเมื่อมีการใช้จ่ายในระดับสูง ก็จะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจและกระตุ้นให้ดอลลาร์แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ในทางตรงกันข้าม หากดัชนีความเชื่อมั่นต่ำ หรือผู้บริโภคเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ พวกเขามักจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เนื่องจากความกังวลในตลาดการเงินอาจทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ
ดังนั้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอเมริกาจึงมีผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ การจับตาดูตัวเลขความเชื่อมั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่ต้องการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและยาว
ความสัมพันธ์กับค่าเงินอื่น: ดอลลาร์ไม่ได้อยู่คนเดียว
- EUR (ยูโร) และ USD (ดอลลาร์): ยูโรมักมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับดอลลาร์สหรัฐฯ หากยูโรแข็งค่าขึ้น ดอลลาร์มักจะอ่อนค่าลง เนื่องจากทั้งสองสกุลเงินนี้มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการปรับเปลี่ยนในอัตราดอกเบี้ยหรือเหตุการณ์เศรษฐกิจที่มีผลต่อทั้งสองสกุลเงิน
- JPY (เยนญี่ปุ่น) และ USD (ดอลลาร์): เยนญี่ปุ่นมักจะมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง เยนญี่ปุ่นมักจะแข็งค่าขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อดอลลาร์แข็งค่า เยนก็จะอ่อนค่าลง ความสัมพันธ์นี้เกิดจากการที่ทั้งสองประเทศมีเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่ต่างกัน
- CNY (หยวนจีน) และ USD (ดอลลาร์): หยวนจีนมักมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศและการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของรัฐบาลจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์
- GBP (ปอนด์สเตอร์ลิง) และ USD (ดอลลาร์): ปอนด์สเตอร์ลิงมักจะมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับดอลลาร์เช่นเดียวกับยูโร หากดอลลาร์อ่อนค่าลง ปอนด์มักจะแข็งค่า ในทางกลับกัน หากดอลลาร์แข็งค่า ปอนด์มักจะอ่อนค่าลง
- AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย) และ USD (ดอลลาร์): ดอลลาร์ออสเตรเลียมีความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐฯ ในทิศทางตรงข้ามในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ราคา commodities (สินค้าโภคภัณฑ์) เช่น เหล็กและทองคำมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ โดยที่ดอลลาร์ออสเตรเลียจะแข็งค่าขึ้นเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น
วิกฤตเศรษฐกิจ: บททดสอบของค่าเงิน
ปี | เหตุการณ์วิกฤต | ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ | ผลกระทบต่อดอลลาร์ | สถานการณ์ตลาด |
2008 | วิกฤตการเงินโลก | เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก | ดอลลาร์แข็งค่า | นักลงทุนหันมาลงทุนในดอลลาร์เป็นหลัก |
2020 | การระบาดของโควิด-19 | ภาวะเศรษฐกิจถดถอย | ดอลลาร์แข็งค่า | ดอลลาร์เป็น “ที่หลบภัย” ในวิกฤต |
2021 | การฟื้นตัวหลังโควิด-19 | เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว | ดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า | การกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ค่าเงินฟื้นตัว |
2023 | ภาวะเงินเฟ้อและสงคราม | เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบ | ดอลลาร์แข็งค่า | นักลงทุนเลือกลงทุนในดอลลาร์ในช่วงวิกฤต |
2024 | การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed | ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ | ดอลลาร์ยังแข็งค่า | การฟื้นตัวในตลาดหุ้นและอัตราดอกเบี้ยสูง |
ผลกระทบต่อตลาดฟอเร็กซ์: โลกหมุนตามดอลลาร์
ตลาดฟอเร็กซ์มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากดอลลาร์ไม่เพียงแต่เป็นสกุลเงินหลักในตลาดการเงินโลก แต่ยังเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าหลักๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ดังนั้น การที่ดอลลาร์แข็งค่า หรืออ่อนค่ามักจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดฟอเร็กซ์ และเปิดโอกาสให้กับนักเทรดในการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของตลาดเหล่านี้
เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น มักจะส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายในดอลลาร์ เช่น ทองคำ (XAU/USD) อ่อนค่าลง เนื่องจากการที่ดอลลาร์แข็งทำให้สินค้าราคาสูงในหน่วยเงินของประเทศอื่น ทำให้การซื้อขายสินค้านั้นลดลงหรือลำบากขึ้น ดังนั้น ราคาทองคำจะลดลงตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า สกุลเงินอื่นๆ เช่น ปอนด์อังกฤษ (GBP) หรือ ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้เงินสกุลอื่นๆ มีมูลค่ามากขึ้น
สำหรับนักเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ การจับทิศทางของดอลลาร์จึงเป็นเรื่องสำคัญ หากสามารถคาดการณ์ทิศทางของดอลลาร์ได้ ก็จะสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นๆ ได้ดีขึ้น การเคลื่อนไหวที่สำคัญของดอลลาร์จึงสามารถเปิดโอกาสให้กับนักเทรดในการทำกำไรจากการซื้อหรือขายคู่เงินต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อดอลลาร์แข็งค่า คู่เงิน EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์) มักจะมีการอ่อนตัวลง ดังนั้นนักเทรดสามารถเลือกที่จะขายยูโรในขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ในส่วนของผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ นักเทรดมักจะต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและสกุลเงินต่างๆ เพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจในการเทรด ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนไหวของ USD/JPY (ดอลลาร์/เยน) เมื่อดอลลาร์แข็งค่าจะทำให้เยนอ่อนค่าลง หรือในกรณีของ XAU/USD เมื่อดอลลาร์แข็งค่าทองคำก็จะร่วงลงตามไปเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของดอลลาร์: ปัจจัยที่นักเทรดต้องจับตา
ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) เป็นสกุลเงินที่มีอิทธิพลสูงในตลาดฟอเร็กซ์และตลาดการเงินโลก ทั้งนี้ เนื่องจากดอลลาร์ไม่ได้เป็นเพียงสกุลเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของสกุลเงินและสินค้าหลายประเภท ดังนั้น การเข้าใจปัจจัยที่มีผลกระทบต่อดอลลาร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักเทรดต้องตระหนัก เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวในตลาดได้
- การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโต ดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนและการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งจะสร้างความต้องการในดอลลาร์มากขึ้นจากทั้งในและต่างประเทศ - อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
การปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อมูลค่าของดอลลาร์ การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เนื่องจากการเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นดึงดูดนักลงทุนให้ซื้อดอลลาร์มากขึ้น - สถานการณ์ทางการเมืองและนโยบาย
การเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐฯ สามารถทำให้ตลาดฟอเร็กซ์เกิดความผันผวน ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง - อัตราเงินเฟ้อ
การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีผลโดยตรงกับมูลค่าของดอลลาร์ หากอัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียมูลค่าของเงิน แต่ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อต่ำหรือคงที่ จะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของดอลลาร์ - เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ดอลลาร์มักได้รับการมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ที่นักลงทุนหันมาถือครองในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน เช่น เหตุการณ์วิกฤตการเงินในปี 2008 หรือวิกฤตโควิด-19 ที่ดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินที่ค่อนข้างมั่นคงในช่วงวิกฤต